เศรษฐกิจโลกกำลังสั่นคลอนจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในสมัยที่สอง บทความนี้ Baolabee เว็บไซต์ที่รวบรวมโรงงานจีนไว้มากที่สุดในประเทศไทย จะมาวิเคราะห์ผลกระทบและโอกาสที่เกิดขึ้นกับจีนและอาเซียนในปี 2568
ทำไมนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ถึงสำคัญ
นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ในสมัยแรก (2016-2020) มุ่งลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน โดยกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 25% ต่อสินค้าจีนหลากหลายประเภท เช่น อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักร ผลกระทบคือ ต้นทุนผู้ผลิตในจีนพุ่งสูง และส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในสมัยที่สอง ทรัมป์ยกระดับนโยบายนี้ โดยประกาศภาษีสูงสุดถึง 145% ต่อสินค้าจีนบางประเภท และขยายภาษีนำเข้าสู่อาเซียน เช่น เวียดนาม (46%), มาเลเซีย (24%), อินโดนีเซีย (32%) และกัมพูชา (49%) (The Wall Street Journal, เมษายน 2568)
เป้าหมายของทรัมป์ยังคงเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และลดการขาดดุลการค้ากับจีน ซึ่งในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบกำลังลุกลามไปทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชีย
ผลกระทบต่อจีน: ความท้าทายและโอกาสในการปรับตัว

การสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ
สินค้าจีน เช่น อิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ ต้องเผชิญกับราคาที่สูงจนผู้บริโภคในสหรัฐฯ ปฏิเสธ ส่งผลให้ยอดส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ลดลง 12% ในไตรมาสแรกของปี 2568 (Bloomberg, มีนาคม 2568)
สินค้าล้นตลาดอื่น
สินค้าที่เคยส่งสหรัฐฯ ไหลเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป ก่อให้เกิดการแข่งขันราคารุนแรง ตัวอย่างเช่น ในอินโดนีเซีย ผู้ผลิตท้องถิ่นอย่าง Helopopy เสียเปรียบจากสินค้าจีนราคาถูก
แรงกดดันต่อห่วงโซ่อุปทาน
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Nike เริ่มย้ายฐานผลิตออกจากจีนไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในจีนลดลง 8% ในปี 2567 (Reuters, กุมภาพันธ์ 2568)
การตอบโต้ด้วยนโยบายภายใน
จีนผลักดันการบริโภคในประเทศ ยอดค้าปลีกโต 3.5% และการลงทุนในเทคโนโลยี เช่น AI และพลังงานสะอาด ขยายตัว 9.2% ในปี 2567 นอกจากนี้ จีนยังเร่งกระชับการค้ากับอาเซียนซึ่งเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง (16% ของการส่งออกทั้งหมด) (South China Morning Post, มีนาคม 2568)
ผลกระทบต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

ความท้าทาย: ภาษีที่สูงขึ้น
การขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เช่น 46% สำหรับเวียดนาม และ 49% สำหรับกัมพูชา กระทบการส่งออกอาเซียนโดยตรง Le’s SHDC Electronics ของเวียดนาม ตัวอย่างหนึ่งที่ต้องเผชิญวิกฤตทันที นอกจากนี้ สินค้าจีนราคาถูกยังเร่งปิดโรงงานสิ่งทอในอินโดนีเซียกว่า 60 แห่งในสองปี (BBC, เมษายน 2568)
โอกาส: การย้ายฐานการผลิต
บริษัทข้ามชาติเร่งย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียน เวียดนามกลายเป็นฐานผลิตใหม่ของ Samsung และ Intel การลงทุนในภาคอิเล็กทรอนิกส์เติบโต 15% ในปี 2567 (Nikkei Asia, มกราคม 2568) มาเลเซียก็รับบทศูนย์กลางการผลิตชิปโลก ส่งออกมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน
การแข่งขันในห่วงโซ่อุปทานโลก
อินโดนีเซียตั้งเป้าเป็นผู้นำแหล่งผลิตนิกเกิลสำหรับแบตเตอรี่ EV ส่วนมาเลเซียครองตลาดถุงมือยางทางการแพทย์เกือบครึ่งหนึ่งของโลก ผลกระทบจากภาษีสูงต่อจีนทำให้สหรัฐฯ ต้องหันมาพึ่งซัพพลายเออร์ในอาเซียนมากขึ้น
การกระชับความสัมพันธ์กับจีน
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาในเมษายน 2568 กระชับความร่วมมือ Belt and Road Initiative การค้าระหว่างจีนกับอาเซียนโตขึ้น 10% ในปีเดียวกัน
กลยุทธ์รับมือของจีนและอาเซียน

จีน: เร่งขยายตลาดภายในและในภูมิภาค
จีนกระตุ้นการบริโภคภายใน เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวหิมะที่โตสามเท่าในปี 2567 ขณะเดียวกันเร่งส่งออกไปยังยุโรปและแอฟริกาเพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้า
อาเซียน: เจรจาเชิงรุกและปกป้องอุตสาหกรรมท้องถิ่น
ผู้นำอาเซียน เช่น โต เลิม ของเวียดนาม เร่งเสนอข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ด้านไทยเองเตรียมเสริมการลงทุนจากสหรัฐฯ (The Bangkok Post, เมษายน 2568) ส่วนอินโดนีเซียและเวียดนามตั้งมาตรการภาษีตอบโต้สินค้าจีนเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศ
อนาคตของการค้าในเอเชีย: ความสมดุลระหว่างยักษ์ใหญ่
นโยบายภาษีของทรัมป์ผลักดันให้อาเซียนต้องรักษาความสัมพันธ์อย่างสมดุลทั้งกับสหรัฐฯ และจีน
เทงกู ซาฟรูล อาซิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของมาเลเซียกล่าวว่า “เราไม่สามารถเลือกข้าง และจะไม่เลือกข้าง” สะท้อนจุดยืนของอาเซียนที่มุ่งเป็นสะพานเชื่อมสองมหาอำนาจ
จีนต้องขยายตลาดใหม่และสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่ง ขณะที่อาเซียนต้องเร่งกระจายตลาดส่งออกและเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ ดังที่ ดอริส ลิว นักเศรษฐศาสตร์จากมาเลเซียกล่าวไว้ว่า “ความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นโอกาสให้ภูมิภาคนี้สร้างสมดุลใหม่”
การปรับตัวเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์สร้างทั้งความเสี่ยงและโอกาสใหม่ในปี 2568 จีนและอาเซียนกำลังปรับตัวอย่างแข็งขัน ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดและความร่วมมือในภูมิภาค เศรษฐกิจเอเชียมีโอกาสฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว
อ้างอิง:
-
BBC Thai (เมษายน 2568)
-
The Wall Street Journal (เมษายน 2568)
-
Bloomberg (มีนาคม 2568)
-
Reuters (กุมภาพันธ์ 2568)
-
South China Morning Post (มีนาคม 2568)
-
Nikkei Asia (มกราคม 2568)
-
The Bangkok Post (เมษายน 2568)